• โทร: 02 559 0155

แปลงเพศ ชายเป็นหญิง

          การผ่าตัดแปลงเพศเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะช่วยเหลือผู้ที่มีภาวะทางจิตใจ ที่เกิดความขัดแย้งระหว่างการรับรู้เพศและสภาพร่างกายที่ไม่สอดคล้องกัน ตั้งแต่กำเนิดซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Gender Dysphoria โดยการผ่าตัดเพื่อให้มีอวัยวะเพศตรงตามสภาพจิตใจที่ต้องการของตนเอง และทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขกับเพศที่ตนเองได้เลือกใหม่ ดังนั้นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนแปลงเพศจึงเป็นการผ่าตัดครั้งสำคัญที่สุด ซึ่งจะมีผลต่อวิถีชีวิตใหม่ จึงควรมีการเตรียมตัวหาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจ

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจเลือกแพทย์ผู้ผ่าตัด  ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และมีความชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศเป็นอย่างดี  ซึ่งจะทำให้ได้รับรูปร่างของอวัยวะเพศภายนอกสวยงามเหมือนธรรมชาติ  มีความลึกของช่องคลอดตามความเหมาะสมกับสภาพของร่างกาย  และสามารถรับความรู้สึกทางเพศได้ดี จะช่วยให้ผู้ที่รับการผ่าตัดมีสภาพร่างกายสอดคล้องกับสภาพจิตใจ สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข

 

คุณสมบัติของผู้ที่จะผ่าตัดแปลงเพศ

คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมที่จะเปลี่ยนแปลงเพศจากชายเป็นหญิง มีดังนี้

1. ผู้ผ่าตัดต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือถ้าอายุไม่ถึง 20 ปี ต้องให้ บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ที่ ถูกต้องตามกฎหมายอนุญาตให้ผ่าตัดได้
2. ต้องได้รับฮอร์โมนเพศหญิงติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 1 ปี
3. มีความรู้สึกเป็นผู้หญิงมานานแล้ว หรือตั้งแต่เริ่มจำความได้
4. เคยใช้ชีวิตแบบผู้หญิงมาไม่น้อยกว่า 1 ปี
5. รู้สึกรังเกียจอวัยวะเพศของตนเอง คิดว่าเป็นส่วนเกิน
6. ได้ผ่านการประเมินสภาพจิตใจและได้รับใบรับรองจากจิตแพทย์ ว่าอยู่ภาวะที่ปกติและเหมาะสมที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศได้
7. ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์

 

ผลลัพธ์จากการผ่าตัดแปลงเพศ

ศัลยแพทย์ตกแต่งที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง จะนำผิวหนัง เนื้อเยื่อ และเส้นประสาทที่รับความรู้สึกทางเพศของผู้เข้ารับการผ่าตัด มาตกแต่งให้เป็นอวัยวะเพศหญิงที่สมบูรณ์แบบ โดยมีวิธีการและผลลัพธ์ดังนี้

1. ทำให้มีอวัยวะเพศให้เหมือนผู้หญิงให้มากที่สุด
2. ทำให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดได้รับช่องคลอดที่ลึกที่สุด เท่าที่ผิวหนังของผู้ป่วยจะทำได้
3. เก็บรักษาเส้นประสาทความรู้สึกทางเพศมาเก็บไว้ที่ปุ่มรับความรู้สึกทางเพศของผู้หญิง (clitoris) ให้ความรู้สึกทางเพศเหมือนปกติ
4. ต้องทำการผ่าตัดและตกแต่ง ซ่อนแผลเป็นให้เห็นน้อยที่สุด

 

วิธีการผ่าตัดแปลงเพศ

วิธีการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง มีดังนี้

1. เป็นการผ่าตัดโดยการให้ยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
2. ทำการสร้างช่องคลอดใหม่โดยเจาะบริเวณกล้ามเนื้อที่อยู่ระหว่างทวารหนักกับท่อปัสสาวะ โดยมีลึกประมาณ 6-7 นิ้ว
3. นำผิวหนังจากบริเวณองคชาตเดิมหรือจากถุงอัณฑะ  ไปสร้างเป็นผนังช่องคลอดก็จะได้ช่องคลอดใหม่เกิดขึ้น เหมือนผู้หญิง
4. เก็บเส้นประสาทรับความรู้สึกทางเพศ  เพื่อเตรียมทำปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ (Clitoris)แล้วตัดแกนองคชาตออก
5. ตัดท่อปัสสาวะเพศชายให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้สามารถปัสสาวะพุ่งลงเหมือนผู้หญิง ถ้าทำการผ่าตัดไม่ดี เวลานั่งปัสสาวะอาจจะพุ่งขึ้นมาได้
6. ตกแต่งบริเวณภายนอกได้แก่ แคมนอก (Major Labia) แคมใน (Minor Labia) ท่อปัสสาวะและปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ (Clitoris) ให้สวยงามเหมือนอวัยวะเพศหญิงที่สมบรูณ์ และยังคงมีความรู้สึกทางเพศอยู่เหมือนเดิม

 

เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศ

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง  สามารถแบ่งตามเทคนิคการสร้างช่องคลอดใหม่ได้ 4 วิธีดังนี้

1. เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต (SRS 1)

          เป็นการนำเอาผิวหนังขององคชาตสอดกลับเข้าไปตกแต่งทำเป็นช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายไม่ซับซ้อน ภาวะแทรกซ้อนต่ำ  ศัลยแพทย์นิยมใช้เทคนิคนี้ในการผ่าตัดแปลงเพศกันอย่างแพร่หลาย

ข้อดี คือ เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและไม่ซับซ้อน สำหรับแพทย์ผู้ที่มีความชำนาญและมี ประสบการณ์ จะใช้เวลาในการผ่าตัดแปลงเพศ โดยใช้เทคนิคนี้ ประมาณ 4 ชั่วโมง นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 4 คืน
ข้อเสีย คือไม่เหมาะกับผู้ที่มีความยาวขององคชาตสั้นกว่า 4 นิ้ว เพราะจะทำให้ได้ช่องคลอดที่ไม่ลึก (โดยปกติแล้วความลึกของช่องคลอดเท่ากับความยาวของหนังที่หุ้มองคชาต ลบ 1 นิ้ว (เผื่อผิวหนังที่จะใช้ทำแคมใน ) ระยะยาวหนังหุ้มช่องคลอดมักจะย้อยออกมา

 

2. เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต และจากผิวหนังจากถุงอัณฑะหรือจากที่อื่นๆ มาทำเป็นผนังช่องคลอด (SRS 2)           

          เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศนี้เกิดจากการนำเอาผิวหนังจากองคชาตแล้วต่อด้วยผิวหนังจากถุงอัณฑะ   มาเลาะให้มีผิวหนังบางๆ  ไปทำเป็นผิวหนังหุ้มผนังช่องคลอด เพื่อเพิ่มความลึกของช่องคลอด  ให้ได้ตามที่ต้องการและเพียงพอต่อการใช้งาน   ถ้าต่อผิวหนังจากถุงอัณฑะแล้วยังได้ความลึกไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ผ่าตัด ศัลยแพทย์ตกแต่งอาจจะพิจารณานำผิวหนังจากที่อื่นๆ เช่น ต้นขา  ขาหนีบ หน้าท้อง มาเพิ่มเป็นผนังของช่องคลอดให้ความลึกเพิ่มอีกก็ได้

ข้อดี คือ สามารถช่วยให้คนที่มีองคชาตสั้น มีโอกาสได้ช่องคลอดลึกมากกว่า 6 นิ้ว
ข้อเสีย คือ การผ่าตัดจะยุ่งยากซับซ้อน และใช้เวลาผ่าตัดมากขึ้น เทคนิคนี้แพทย์ผู้มีประสบการณ์และความชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 6 คืน

 

3. เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังช่องคลอด

          การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นหญิงสมบูรณ์แบบมากที่สุด เพราะลำไส้ใหญ่จะมีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติ หรือ เป็นการผ่าตัดเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เคยผ่าตัดแปลงเพศมาแล้ว ช่องคลอดตีบตัน ไม่สามารถร่วมเพศได้ โดยนำลำไส้ใหญ่บางส่วน ประมาณ 7-8 นิ้ว มาสร้างเป็นผนังช่องคลอด ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล มีเทคนิคในการนำลำไส้ใหญ่มาเป็นผนังช่องคลอด อยู่ 2 เทคนิค ได้แก่

  • แบบเปิดแผลหน้าท้อง (Open Technique) จะมีรอยแผลตามขอบบิกินี่ ด้านซ้ายของคนไข้ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ลำไส้ใหญ่ที่นำมาทำเป็นผนังช่องคลอด ยาวประมาณ 7-8 นิ้ว โดยจะมีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยงด้วย ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 7 ชั่วโมง
  • แบบใช้กล้อง (Laparoscopic Technique) เทคนิคนี้เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุด ที่มีการนำลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอดโดยปราศจากแผลเป็นที่หน้าท้อง โดยใช้เครื่องมือพิเศษ ในการผ่าตัด สามารถตัดลำไส้มาทำเป็นผนังช่องคลอดได้ยาว 7-8 นิ้ว การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 

 

ข้อเสีย

1. อาจเกิดแผลเป็นยาวประมาณ 7 เซนติเมตร เหนือหัวเหน่าด้านซ้าย
2. การผ่าตัดมีความยุ่งยากซับซ้อนต้องมีการเตรียมการผ่าตัดเอาส่วนของสำไส้ ใหญ่ ออกมาโดยต้องมีการสวนล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาดก่อนผ่าตัด 1 วัน
3. ผู้ทำการผ่าตัดอาจจะมีอาการท้องอืด 2 – 3 วัน หลังการผ่าตัด
4. การผ่าตัดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอดนี้  ไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักมาก  หรือมีหน้าท้องหนา ค่า BMI  ไม่ควรเกิน 28.5  

 

4. เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ ผนังหน้าท้องร่วมกับ ผิวหนังจากองคชาด (Penile-Peritoneal Vaginoplasty) SRS –PPV 
          การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคนี้ เป็นเทคนิคใหม่ที่ผสมผสานระหว่างการนำเอาผิวหนังจากองคชาด และ เนื้อเยื่อจากผนังหน้าท้องด้านใน( Peritoneal)ดึงลงมาต่อกัน  เพื่อทำช่องคลอดเทียม การผ่าตัดเอาผนังหน้าท้องด้านในออกมา มี 2 วิธีคือ

  • การผ่าตัดด้วยกล้อง( Laparoscope Method) จะนิยมมากกว่าเพราะ ไม่มีแผลเป็น
  • การผ่าตัดด้วยการเปิดหน้าท้อง  ( Open Method)

 

ข้อดี

  1. เทคนิคนี้สามารถจะใช้ทำครั้งแรกของการผ่าตัดแปลงเพศ หรือ แก้ไขผ่าตัดแปลงเพศที่มีช่องคลอดตื้นก็ได้
  2. สามารถใช้เทคนิคนี้เพิ่มความลึกให้ช่องคลอดได้
  3. เทคนิคนี้จะมีประโยชน์สำหรับคนที่ผ่าตัดแปลงเพศด้วยลำไส้มาแล้ว แล้วเกิดรอยต่อระหว่างผิวหนังกับลำไส้  หดตัว  ไม่สามารถร่วมเพศได้  ผนังหน้าท้อง( Peritoneum) จะช่วยแก้ไขได้
  4.  เป็นทางเลือกให้ที่ผู้ที่มี  อวัยวะเพศชายสั้นมากไม่สามารถผ่าตัดแปลงเพศ แบบที่ใช้เทคนิคการเอาผิวหนังมาทำช่องคลอดได้
  5. ช่องคลอดจะมีน้ำหล่อลื่น และ ยืดหยุ่นเป็นธรรมชาติ
  6. ใช้เวลาขยายช่องคลอดน้อยกว่าเทคนิคใช้ผิวหนัง
  7. ความเสี่ยงการการทำงานของลำไส้ผิดปกติมีน้อยกว่า เช่น ลำไส้ไม่เคลื่อนไหว


ข้อเสีย

รูปภาพที่ 1. แสดงตำแหน่งกำจัดขนที่ฐานองคชาต

 

  1. กำจัดขนที่ฐานขององคชาตขนาด 5x6 เซนติดเมตร ตามรูปภาพที่ 1.
  2. มีโอกาสมองเห็นแผลเป็น (Scar)ได้ ถ้าเลือกเทคนิคการเปิดแผลหน้าท้อง เพื่อเอา ผนังหน้าท้อง (Peritoneum) มาใช้ แพทย์จะเปิดแผลหน้าท้อง แนวบิกินี่ด้านซ้ายประมาณ 10-12  ซม.
  3. มีความซับซ้อนในการผ่าตัดมากกว่าเทคนิคอื่น
  4. คนไข้อาจจะมีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือไม่สบายท้อง ประมาณ 3-5 วันหลังจากการผ่าตัด
  5. การเปิดหน้าท้องหรือการผ่าตัดด้วยกล้องเพื่อเอาผนังช่องท้องไม่สามารถทำได้กับ  คนอ้วนหรือมีไขมันสะสมที่หน้าท้องเยอะ  ต้องตรวจร่างกายก่อน
  6. เนื่องจากเป็นการผ่าตัดในช่องท้อง การผ่าตัดเลาะเกาผนังหน้าท้องด้วย.Laparoscope  อาจจะมีโอกาสเปลี่ยนเป็น แผลหน้าท้องได้ในบางเคสที่มีปัญหา

 

ระยะเวลาในการผ่าตัด 4-6 ชั่วโมง

 

การเตรียมตัวก่อน  การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง มีดังนี้

วิธีการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง มีดังนี้

  • ผ่านการพบจิตแพทย์ มีใบรับรองจากจิตแพทย์
  • ปรึกษาศัลยแพทย์ที่จะผ่าตัดแปลงเพศ  พร้อมตรวจร่างกาย  Chest x ray, ตรวจเลือด       ตรวจ  EKG, Stress test ถ้าอายุเกิน 40 ปี 
  • หยุดฮอร์โมน  1-2 อาทิตย์
  • หยุดยาจำพวกแอสไพริน ยาลดอาการอักเสบ หรือสมุนไพร ที่อาจจะทำให้เลือดออกผิดปกติ หยุดยาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือตามแพทย์สั่ง
  • หยุดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดโอกาสเกิดเลือดไปเลี้ยงแผลไม่ดี
  • เตรียมอาหาร ที่อยู่อาศัยหลังผ่าตัด 1-2 สัปดาห์ เพื่อทำแผลและขยายช่องคลอด

 

การดูแลแผล หลังการผ่าตัดแปลงเพศ

คนไข้จะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อย่างน้อย 4- 6  คืน เพื่อดูแลรักษาแผลในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นคนไข้จะต้องปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

1.  ให้คนไข้งดรับประทานอาหารที่มีกากและเครื่องดื่มจำพวกน้ำผลไม้ นม นมเปรี้ยว โยเกิร์ตเพราะจะเกิดการกระตุ้นทำให้เกิดการขับถ่ายในช่วง 2 วันแรกหลังการผ่าตัด ซึ่งอาจจะทำให้แผลมีการปนเปื้อนอุจจาระได้
2.  หลังผ่าตัด1-2 วันแรก   คนไข้ควรนอนอยู่ในท่านอนหงาย ยกสะโพกให้สูง และแยกขาทั้ง 2 ออกจากกันเล็กน้อย เพื่อช่วยลดอาการบวมได้ดีขึ้น
3.  วันที่ 3  หลังการผ่าตัดสามารถนอนตะแคงได้
4.  วันที่ 4  หลังการผ่าตัดแพทย์ผู้ผ่าตัดจะทำการถอดสายระบายเลือดเสียออก   และเปิดแผลทำความสะอาดแผล และถอดสายสวนปัสสาวะออก ผู้ป่วยผ่าตัดแบบใช้  เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต  สามารถกลับบ้านได้ และกลับมาตัดไหมในวันที่ 7 อีกครั้งสำหรับผู้ที่ทำการผ่าตัดแบบ เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต  และจากผิวหนังจากถุงอัณฑะหรือจากที่อื่นๆมาทำเป็นผนังช่องคลอด หรือผู้ที่ผ่าตัดแบบ เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอด แพทย์จะยังไม่ถอดสายสวนปัสสาวะออกและคนไข้ต้องนอนอยู่บนเตียงต่อไปจนถึงวันที่ 6 ของการผ่าตัด
5. คนที่ผ่าตัดแบบ เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอด    จะงดน้ำและอาหารหลังการผ่าตัดจนกระทั่งมีอาการผายลมก่อน   จึงจะเริ่มจิบน้ำและรับประทานอาหารเหลวได้ ถ้ารับประทานอาหารเร็วเกินไป อาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดและอาหารไม่ย่อย ได้ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ผ่าตัดแบบ เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอด ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด
6. วันที่ 6  ของการผ่าตัด  คนที่ผ่าตัดแบบ เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต และจากผิวหนังจากถุงอัณฑะหรือจากที่อื่นๆมาทำเป็นผนังช่องคลอด  เปิดแผลทำความสะอาดแผล และ เอาผ้าก๊อสที่อยู่ในช่องคลอดออก
7. วันที่ 7  ของการผ่าตัด เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต  และจากผิวหนังจากถุงอัณฑะหรือจากที่อื่นๆมาทำเป็นผนังช่องคลอด, เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอด ถอดสายสวนปัสสาวะออก  และกลับบ้านได้
8. ผู้ผ่าตัด เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต, เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต  และจากผิวหนังจากถุงอัณฑะหรือจากที่อื่นๆมาทำเป็นผนังช่องคลอด , เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอด กลับมาพบแพทย์เพื่อตัดไหมและขยายช่องคลอดโดยใช้ Dilator ที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อรักษาความกว้างและเพิ่มความลึกให้คงที่ควรหมั่นขยายช่องคลอดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที
9. ผู้ผ่าตัดต้องทำความสะอาดแผลพร้อมกับขยายช่องคลอด ทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง จนกว่าแผลภายนอกและในช่องคลอดจะหายสนิทดี
10. งดมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน
11. มาพบแพทย์ตามนัดทุก ๆ 1 สัปดาห์ หลังผ่าตัดจนครบ 1 เดือน เพื่อให้ผลการผ่าตัดที่ได้สมบูรณ์และสวยงามใกล้เคียงธรรมชาติ

 

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน  ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ (Risk and Complication)

  • แผลบวม  ( Swelling)
  • มีรอยซ้ำ (Bruising)
  • มีเลือดคั่ง  ( Hematoma )
  • มีเลือดออก ( Bleeding)
  • การติดเชื้อ ( Infection )
  • ช่องคลอดทะลุเข้าลำไส้ ( Recto-vaginal fistula )
  • แผลสมานตัวช้า( Poor healing)
  • เนื้อตาย ( Flap necrosis)
  • ช่องคลอดตีบ หรือ ท่อปัสสาวะตีบ ( Vaginal and Urethral stenosis)
  • ความไม่พอใจในขนาด และรูปทรง ของ ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ และคลิสตอริส ( Unsatisfied size or shape of vaginal urethral and clitoris)
  • ปวดแผล( Pain )แก้ไขได้ด้วยยาแก้ปวด
  • แคมอาจจะไม่เท่ากัน ( Asymmetric Labia )
  • แผลเป็น  ( Scarring )
  • ความรู้สึกทางเพศลดลง ( Decreased Sensation )
  • ผุ้ป่วยที่มีประวัติโรคเลือด อาจจะเกิด deep vein thrombosis ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบจะได้ป้องกัน โดยใส่เครื่องมือไล่เลือดที่ขาตลอดเวลา 2-3 วัน อย่างน้อย
  • ความเสี่ยงจากผลข้างเคียงการดมยาสลบ ( Risk from anesthesia )
 
 
 
 

World-Class Services